Wolfgang Amadeus Mozart
โมซาร์ทเกิดที่เมืองซาลซ์บูร์ก เขามีงานประพันธ์เพลง 700 ชิ้นรวมทั้งโอเปร่า (ดนตรีซึ่งมีเนื้อเรื่อง) ชื่อ ดอน โจวันนี (Don Giovanni) และ ขลุ่ยวิเศษ (Die Zauberflöte) ปัจจุบันผลงานต่าง ๆ ของเขาได้ถูกนำมาจัดจำหน่ายเป็นสื่อต่าง ๆ มากมายโมสาร์ท เป็นนักดนตรีผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคนหนึ่ง
ที่มีอัจฉริยภาพทางดนตรีมาแต่กำเนิด เมื่อเขายังเล็ก ๆ อยู่นั้น
มักจะไปยืนเกาะฮาร์พซิคอร์ด ดูพ่อกำลังสอน Nannerl
พี่สาวของเขาให้เล่นคลาเวียร์อยู่ด้วยความตั้งอกตั้งใจ
ดูไปดูมาก็อยากจะเล่นได้อย่างพี่สาว ก็เลยเอ่ยปากขอเล่นบ้าง
แต่พ่อบอกว่ายังเด็กยังเล็กอยู่จะเล่นเห็นจะยังไม่เหมาะ
ขอให้โตกว่านี้อีกหน่อยซิพ่อจะสอนให้
เมื่อโมสาร์ทอายุได้ 4 ขวบ
พ่อก็เริ่มฝึกหัดให้เขาเรียนดนตรีอย่างจริงจัง โมสาร์ทสามารถเรียนรู้อะไร ๆ
จากพ่อได้อย่างรวดเร็ว หูของเขาสามารถฟังเสียงดนตรีได้อย่างแม่นยำ
และบอกเสียงต่าง ๆ ได้ถูกต้อง
พ่อเริ่มเห็นความสามารถพิเศษที่สวรรค์ประทานพรมาให้ลูกชายของเขาแล้ว
จึงได้ตั้งใจทุ่มเทเวลามาฝึกหัด และวางรากฐานทางดนตรีตลอดจนหลักเกณฑ์ต่าง ๆ
ที่ถูกต้องให้แก่ลูกชายของเขา
โวล์ฟกัง อมาเตอุส โมสาร์ท
เกิดเมื่อวันที่ 27 มกราคม ค.ศ.1759 (พ.ศ.2295) ที่เมืองซาลสเบอร์ก
ออสเตรีย เป็นลูกชายของ เลโอโปลด์ โมสาร์ท
นักดนตรีผู้มีชื่อเสียงของออสเตรีย เป็นนักแต่งเพลงและครูสอนดนตรี
มีความสามารถทางไวโอลินเป็นเยี่ยม
มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าวงดนตรีประจำสำนักของอาร์ชบิชอพ ที่ซาลสเบอร์ก แม่ชื่อ
เฟรา อันนา โมสาร์ท เป็นผู้หญิงธรรมดาที่พอใจในงานแม่บ้านแม่เรือน
และมีความรักลูก ๆ เหมือนแม่ทั้งหลาย โมสาร์ทมีพี่น้องทั้งหมด 7 คน
แต่ตายไปเสีย 5 คน คงเหลือแต่เพียงมาเรีย แอนนา หรือ Nannerl
พี่สาวซึ่งมีอายุแก่กว่าเขา 4 ปี และตัวเขาเอง เพียง 2 คนเท่านั้น
เด็กน้อยโมสาร์ทเป็นคนที่มีรูปร่างสง่า มีใบหน้าสวย มีริมฝีปากงามละไม
จมูกโด่ง มีแววตาอ่อนโยนคล้ายผู้หญิง
มีกิริยาละมุนละม่อมสงบเสงี่ยมและเป็นคนช่างคิดช่างฝัน
แม้ว่าโมสาร์ทจะมีรูปโฉมที่งดงาม
และมีพรสวรรค์ทางการดนตรีที่พระเจ้าประทานให้อย่างล้นเหลือ
แต่ในด้านความรักนั้น
เรียกได้ว่าโมสาร์ทเป็นชายที่อาภัพในเรื่องความรักคนหนึ่งของโลกเลยทีเดียว
ในระหว่างที่โมสาร์ทยังเป็นเด็กนั้น
เป็นงานที่มีผลทำให้ชื่อเสียงของเขาขจรขจายไปทั่วยุโรป จักรพรรดิฟรังซิส
ถึงกับทรงเรียกเขาว่า “ผู้วิเศษน้อย” เมื่ออายุ 7 ขวบ
เขาแต่งเพลงไวโอลินโซนาตาเสร็จเป็นเพลงแรก อีกปีหนึ่งต่อมาเมื่ออายุ 8 ขวบ
ก็แต่งซิมโฟนีได้สำเร็จ
การที่พ่อของเขาได้นำพี่สาวและตัวของโมสาร์ทออกแสดงดนตรีไปทั่วยุโรป
ทำให้โมสาร์ทได้รับการต้อนรับ อย่างดีจากราชสำนักทุกแห่ง ทั้งออสเตรีย
เยอรมนี ฝรั่งเศส และอังกฤษ ได้รับการยอมรับจากชนทุกชั้น
ระยะนี้เองเขาได้รับสมญานามเพื่อยกย่องว่า “เด็กมหัศจรรย์”
ชื่อเสียงของเขาเป็นที่รู้จักกันอย่างดีทั่วยุโรปเมื่ออายุเพียง
14 ปีเท่านั้น เขาก็ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นอัศวินจากสมเด็จพระสันตะปาปา
ซึ่งพระองค์ก็ทรงชื่นชมในความสามารถของเขาถึงกับแต่งตั้งให้เขาเป็นทหารม้า
Cavalier และเป็น King of the Golden Cross ด้วย ซึ่งเป็นยศอัศวิน
การให้เกียรติแก่นักดนตรีอย่างนี้เคยให้แก่ คริสโตฟ วิลลิบาลด์ กลุ๊ค
มาแล้วเมื่อ 14 ปีก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งพระเจ้ายอร์จที่ 3 แห่งอังกฤษ
ถึงกับเคยตรัสไว้ว่า “อายุเพียง 8 ขวบ แต่มีความสามารถเท่ากับคนอายุ 40”
อิตาลี
เป็นประเทศที่โมสาร์ทชื่นชอบเป็นอย่างมาก
เขาลุ่มหลงในความงดงามของอิตาลีจนถึงขั้นกับเปลี่ยนชื่อของตัวเองให้เป็น
ภาษาอิตาเลียน โดยได้เปลี่ยนชื่อกลาง ซึ่งเดิมชื่อ Gottlieb แปลว่า
ผู้เป็นที่รักของพระเจ้า มาเป็น Amadeus ซึ่งแปลว่า
ผู้เป็นที่รักของพระเจ้าเช่นเดียวกัน เขา หายใจเข้าออกเป็นอิตาลีไปหมด
อาชีพเฟื่องฟูในกรุงเวียนนา
โมสาร์ทไม่พอใจในสถานะที่เป็นอยู่อย่างยิ่ง
จึงตัดสินใจเดินทางไปที่กรุงเวียนนา และได้ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวเวเบอร์
และได้แต่งงานกับคอนสตันซ์ เวเบอร์ น้องสาวของ อลอยเซีย เวเบอร์
ซึ่งเขาเคยรักมาก่อน ในเดือนสิงหาคม ค.ศ.1782
เขาได้นำเอาชื่อของภรรยาไปตั้งเป็นชื่อของนางเอกในอุปรากรที่เขาเขียนขึ้น
ชื่อ The Escape from Seraglio โมสาร์ท
ได้นำอุปรากรเรื่องนี้ไปแสดงที่กรุงเวียนนา แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ
คนดูเดินออกก่อนอุปรากรเลิก ทุกรอบ แต่อย่างไรก็ตาม จากอุปรากรเรื่องนี้
จักรพรรดิโจเซปได้รับโมสาร์ทไว้ในวงดนตรีของพระองค์
ชีวิตหลังแต่งงานของโมสาร์ทนั้นต้องอยู่อย่างยากลำบาก
เนื่องจากภรรยาของเขาใช้เงินอย่างฟุ่มเฟือย
ทำให้ฐานะทางการเงินของเขาแย่ลงทุกวัน จนต้องไป
กู้หนี้ยืมสินเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว
และที่เลวร้ายมากที่สุดสำหรับชีวิตนักดนตรีอัจฉริยะของโลก ก็คือ
บางครั้งถึงกับต้องไปขอทานเพื่อให้มีเงินมาซื้ออาหารประทังชีวิต
ระหว่างนี้เองที่โมสาร์ทต้องล้มป่วยลงด้วยโรคไต แต่ด้วยความสำเร็จของ The
Magic Flute ที่เขาแต่งขึ้นมาใหม่ เขาได้รับเงินจ่ายประจำปี
เขาจึงเริ่มต้นมีความมั่นคงทางการเงินอีกครั้ง
โมสาร์ทได้เขียนเพลงมากมาย
ยิ่งเขียนมากขึ้นเท่าไหร่แนวการเขียนก็ยิ่งแปลกขึ้นเท่านั้น
และไม่ค่อยจะซ้ำแบบเดิม ซึ่งเป็นการยากที่นักแต่งเพลงอื่น ๆ จะทำได้
อุปรากรเรื่องสุดท้ายในชีวิตของโมสาร์ท คือ The Magic Flute
ซึ่งเขียนขึ้นขณะที่กำลังป่วยและอยู่ในภาวะเศร้าโศก
เพราะมีเรื่องคับแค้นในเรื่องครอบครัว
แต่ถึงอย่างนั้นก็ปรากฏว่าท่วงทีทำนองและลีลาของเพลงเต็มไปด้วยชีวิตและ
ร่าเริงแจ่มใส เพลงนี้เขียนขึ้นในปี ค.ศ.1791
โมสาร์ทได้พยายามแต่งเพลง
Requiem (เพลงเกี่ยวกับงานศพ) ให้แก่เคาน์ท์ลัวเซกก์
เพื่อเป็นที่ระลึกให้แก่ภรรยาที่ตายไปแล้ว
โมสาร์ทแต่งไปได้ไม่มากนักก็เสียชีวิตเสียก่อน ตกลงก็เป็นอันว่าเพลง
Requiem นี้แต่งขึ้นเพื่องานศพของตนเอง
เพราะต่อมาวันที่ 5 ธันวาคม
ค.ศ.1791 โมสาร์ทก็จากโลกไปด้วยโรคไข้ไทฟลอย์ที่เวียนนา
เขาตายขณะที่กำลังยากจนแสนเข็ญ และมีหนี้สินรุงรัง
ภรรยาไม่มีเงินจะทำศพให้สามี เอเฟน ฟาน สวีเดน
ผู้ใจบุญได้ช่วยจัดการในพิธีฝังศพให้
ขณะที่โมสาร์ทตายนั้น เขาอายุเพียง
35 ปีเท่านั้น เขาตายอย่างน่าอนาถ เพราะเขาต้องเผชิญกับความหิว
ความหนาวและเข็ญใจ ไร้ญาติขาดมิตร
ขณะที่นำศพไปฝังในตอนบ่ายวันที่เขาตายนั้น มีพายุฝนอย่างรุนแรง
หิมะและลูกเห็บตกลงมาอย่างหนัก
ทำให้คนเดินติดตามไปฝังศพต้องยอมแพ้ไม่ยอมตามไป
ภรรยาของเขาก็ไม่ได้ตามไปด้วยเพราะกำลังป่วยอยู่ ฉะนั้น
จึงไม่มีญาติมิตรคนใดไปดูการฝังศพของเขา คงปล่อยให้สัปเหร่อ 2-3 คน
จัดการไปตามลำพัง ณ ป่าช้าสำหรับคนอนาถาที่ เซนต์ มารุกซ ในกรุงเวียนนา
โดยไม่ได้ทำเครื่องหมายอันใดไว้เลย เพราะทำกันอย่างรีบ ๆ
จึงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าใจอย่างยิ่ง
พอมีการระลึกถึงคุณค่าทางดนตรีของเขาขึ้นมา ต้องการที่จะคาราวะศพ
และจะจัดสร้างอนุสาวรีย์ให้แก่เขา ก็ไม่สามารถจะค้นหาหลุมฝังศพของเขาพบ
นี่แหละคือชีวิตของ โวล์ฟ กัง อมาเดอุส โมสาร์ท
นักดนตรีชื่อก้องโลกผู้อาภัพที่สุด
อย่างไรก็ตาม
ชีวิตของโมสาร์ทยังคงเป็นตำนานอมตะให้คนทั่วโลกได้พิจารณาการดำเนินชีวิต
ด้วยความไม่ประมาท ไม่ว่าจะมีชื่อเสียง ลาภ ยศ เงินทอง มากมายอย่างไร
ก็อาจจะมีวันเสื่อมลงได้