ปริศนาในอดีต : มรณกรรมลึกลับของโมสาร์ท
Wolfgang amadeus mozart
Wolfgang amadeus mozart
ยอดนักดนตรีเอกของโลก(ค.ศ. 1756- 1791)
ประวัติของเขามีอะไรๆน่าสนใจมากมายโดยเฉพาะมรณกรรมที่ทำให้เขาจากไปด้วยวัยเพียง 35 นั้นยังเป็นปัญหาลึกลับที่เถียงกันไม่จบมาจนกระทั่งถึงทุกวันนี้ว่ามีสาเหตุอะไรกันแน่
ระหว่างการป่วยด้วยโรคร้าย หรือ ถูกฆาตกรรม
ประวัติ ส่วนใหญ่ของโมสาร์ทจะกล่าวว่า โมสาร์เสียชีวิตด้วยโรคต่างๆเช่น ซิฟิลิส ไข้อีดำอีแดง โรคนิ่วในไต ปอดบวมโรคไขไข้ข้ออับเสบ ไปจนกระทั่งการพยาธิเนื่องจากกินหมูที่ไม่สุก
แต่ประเด็นสำคัญที่ทำให้มรณกรรมของโมสาร์ทกลายเป็นเรื่องลึกลับก็เพราะว่า มีคนสงสัยกันมากว่า เขาอาจไม่ได้เสียชีวิตเนื่องจากโรคภัยไข้เจ็บ แต่อาจเสียชีวิตจากการฆาตกรรมโดยการวางยาพิษ
ย้อนกลับไป วันที่ 20 พ.ย.1791
จู่ๆ โมสาร์ทก็ล้มป่วยอย่างกระทันหัน มีอาการไข้ขึ้นสูง ปวดศรีษะ เหงื่อแตก บวมและปวดที่มือทั้งขาและแขนทั้ง 2 ข้าง
จู่ๆ โมสาร์ทก็ล้มป่วยอย่างกระทันหัน มีอาการไข้ขึ้นสูง ปวดศรีษะ เหงื่อแตก บวมและปวดที่มือทั้งขาและแขนทั้ง 2 ข้าง
ด้อกเตอร์คล้อสเส็ท แพทย์ผู้ดูแลอาการ ได้ทำการกรีดเส้นเลือดใหญ่ที่แขนเพื่อให้เลือดไหลออกมามากๆ
โดยเชื่อว่าจะทำให้เชื้อออกไปจากร่างกายผู้ป่วย ซึ่งการรักษาแบบวิธีนี้นอกจากจะไม่ทำให้อาการของโมสาร์ทดีขึ้นแล้ว พอทำหลายครั้งเข้าเขาก้อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งอาการก็ทรุดหนักลงไปทุกที
โดยเชื่อว่าจะทำให้เชื้อออกไปจากร่างกายผู้ป่วย ซึ่งการรักษาแบบวิธีนี้นอกจากจะไม่ทำให้อาการของโมสาร์ทดีขึ้นแล้ว พอทำหลายครั้งเข้าเขาก้อ่อนแอลงไปเรื่อยๆ รวมทั้งอาการก็ทรุดหนักลงไปทุกที
พอถึงวันที่ 4 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันที่14นับจากวันที่เริ่มล้มป่วยอาการของโมสาร์ทก้เริ่มเลวร้าย
จนถึงขั้นตัวบวมทั้งตัวจนถึงขั้นขยับไม่ได้ ร่วมกับอาการอาเจียนโดยมีผื่นขึ้นตามร่างกาย และที่แย่ก้คือมีกลิ่นเหม็นออกมาทางปากและลมหายใจ และอาเจียนเป็นสีดำ
จนถึงขั้นตัวบวมทั้งตัวจนถึงขั้นขยับไม่ได้ ร่วมกับอาการอาเจียนโดยมีผื่นขึ้นตามร่างกาย และที่แย่ก้คือมีกลิ่นเหม็นออกมาทางปากและลมหายใจ และอาเจียนเป็นสีดำ
15วันหลังจากล้มป่วย นักดนตรีอัจฉริยะผู้นี้ก้เสียชีวิตด้วยวัยเพียง 35ปี โดยที่ศพของเขาทั้งบวมและเน่าอย่างรุนแรงจนกระทั่งการชันสูตรมิอาจทำได้
การเสียชีวิตของMozart ได้รับการอธิบายจากทางการในสมัยนั้นว่าเกิดจากโรคมิเลียลี่ (Milialy fever) ในขณะเดียวกันก็มีข่าวลือหนาหูว่าโมสาร์ทถูกฆาตกรรมโดยการวางยาพิษเพราะมีคนสงสัยว่าทำไมอยู่ดีๆ โมสาร์ทจึงเกิดล้มป่วยและเสียชีวิตอย่างกระทันหัน อีกทั้งการเสียชีวิตของเขาก็ดูไม่ค่อยเหมือนการเจ็บป่วยแบบธรรมดาๆ แต่เหมือนกับถูกวางยาพิษมากกว่า
นอกจากนี้
คำพูดของโมสาร์ทที่ได้เคยกล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตว่า
มีคนวางยาพิษเขา ก็มีส่วนทำให้ข่าวนี้ดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นCarl บุตรชายของ Mozart ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้คนเชื่อข่าวนี้
คำพูดของโมสาร์ทที่ได้เคยกล่าวไว้ก่อนเสียชีวิตว่า
มีคนวางยาพิษเขา ก็มีส่วนทำให้ข่าวนี้ดูมีน้ำหนักมากยิ่งขึ้นCarl บุตรชายของ Mozart ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ทำให้คนเชื่อข่าวนี้
ด้วยการกล่าวคำยืนยันว่าศพบิดาของเขานั้นไม่แข็งทื่อเหมือนศพธรรมดาทั่วๆไป แต่กลับอ่อนนุ่มนิ่มและยืดยุ่นคล้ายกับ
กรณีของ โป๊ปแกนกาเนลลิ และคนอื่นๆ ที่เสียชีวิตจากสารพิษที่ทำจากพืช
ถ้าโมสาร์ทถูกฆาตกรรมแล้วใครล่ะคือฆาตกรรมและเขาทำไปเพื่ออะไรถ้าจะว่าไปแล้วสาเหตุที่ทำให้โมสาร์ทถูกฆ่านั้นมีอยู่มากมาย
เนื่องจาก
เขามีลูกถึง 6 คนทำให้ต้องกู้หนี้ยืนสินไปทั่ว ทั้งยังสร้างศัตรูในราชสำนักที่เขาอยู่ นอกจากนั้นยังมีนิสัยเจ้าชู้ และมีสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมทั้งยังเป็นสมาชิกของสมาคมลับ(freemason)
เขามีลูกถึง 6 คนทำให้ต้องกู้หนี้ยืนสินไปทั่ว ทั้งยังสร้างศัตรูในราชสำนักที่เขาอยู่ นอกจากนั้นยังมีนิสัยเจ้าชู้ และมีสัมพันธ์กับผู้หญิงมากหน้าหลายตา รวมทั้งยังเป็นสมาชิกของสมาคมลับ(freemason)
ผู้เข้าค่ายที่เป็นฆาตกรจึงมีหลายรายได้แก่
1.เจ้าหนี้คนใดคนหนึ่งของโมสาร์ท
2.สมาคมลับที่โมสาร์ทเข้าเป็นสมาชิกในปี ค.ศ.1784 มีข่าวลือว่าโมสาร์ทถูกฆาตกรรมเนื่องจากไปเปิดเผิยความลับของสมาคมในอุปรากรเรื่องหนึ่งที่เขาแต่งขึ้น
3.Franz Hofdamel สามีของ Magdalena Hofdemel หญิงสาวที่โมสาร์ทไปมีความสัมพันธ์ด้วย
2.สมาคมลับที่โมสาร์ทเข้าเป็นสมาชิกในปี ค.ศ.1784 มีข่าวลือว่าโมสาร์ทถูกฆาตกรรมเนื่องจากไปเปิดเผิยความลับของสมาคมในอุปรากรเรื่องหนึ่งที่เขาแต่งขึ้น
3.Franz Hofdamel สามีของ Magdalena Hofdemel หญิงสาวที่โมสาร์ทไปมีความสัมพันธ์ด้วย
4.Antonio salieri
ในจำนวนผู้ถูกกล่าวหาทั้งหมด ซาลีรีเป็นบุคคลที่มีเหตุจูงใจ ให้คนเชื่อมากที่สุดว่าน่าจะเป็นคนที่ฆ่าโมสาร์ท เนื่องจากเขาทำงานในวงดนตรีของจักรพรรดิ์โจเซฟที่ 2 แห่งออสเตรีย โดยมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าวงดนตรี
และที่สำคัญ คอนแสตนท์ ภรรยาของโมสาร์ทได้กล่าวหาว่าวางยาพิษสามีของเธอ เนื่องจากเขาอิจฉาในความเก่งกาจของโมสาร์ทถึงแม่ว่าจะเป้นแค่คำพูดลอยๆ ที่ปราศจาหลักบานสนับสนุนแต่มันก็มีมูลเหตุอยู่บ้างซึ่งแน่นอนว่าเขาปฏิสธอย่างแข็งขันว่าไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขาและโมสาร์ทยังเป็นไปยังมีอัธยาศัยไมตรีอย่างไรก็ดีในช่วงบั้นปลายของชีวิตซาลิรี เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการทางประสาท ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ
และที่สำคัญ คอนแสตนท์ ภรรยาของโมสาร์ทได้กล่าวหาว่าวางยาพิษสามีของเธอ เนื่องจากเขาอิจฉาในความเก่งกาจของโมสาร์ทถึงแม่ว่าจะเป้นแค่คำพูดลอยๆ ที่ปราศจาหลักบานสนับสนุนแต่มันก็มีมูลเหตุอยู่บ้างซึ่งแน่นอนว่าเขาปฏิสธอย่างแข็งขันว่าไม่เป็นความจริง นอกจากนี้ความสัมพันธ์ของเขาและโมสาร์ทยังเป็นไปยังมีอัธยาศัยไมตรีอย่างไรก็ดีในช่วงบั้นปลายของชีวิตซาลิรี เขาต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการทางประสาท ต้องเข้าๆ ออกๆ โรงพยาบาลเป็นประจำ
และในช่วงนี้เองเวลาที่โรคประสาทกำเริบ ไม่ว่าจะเป็นเพราะผลจากคำกล่าวหาของคอนแสตนท์ หรือ บางอย่างที่ซ่อนเนอยู่ในจิตใจที่ยังตามหลอกหลอนเขาอยู่ก็ตาม ทำให้ซาลิรีกล่าวยอมรับว่าเป็นผู้ฆาตกรรมโมสาร์ท ครั้นพอเวลาสภาพจิตใจกลับสู่สภาวะปกติก็ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ฆาตกรรมโมสาร์ท
จนกระทั่ง อเล็กซานเดอร์ พุชกิ้น นำไปแต่งเป็นบทละครเรื่องสั้นเรื่อง"โมสาร์ทและซาริลี
ต่อมา ปีเตอร์ ชาฟเฟอร์ นำเอาเค้าโครงไปสร้างเป็นละครเรื่องอมาดิอุส(beloved of god )
จากละครได้นำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ยิ่งใหญ้ของ ฮอลลีวู้ดชื่อ Amadeus เช่นเดียวกับละคร ซึ่งสามารถคว้ารางวัลออสการ์ได้ถึง 8 รางวัลในปี ค.ศ.1984
นอกจากนี้ยังไม่มีซากหรือโครงกระดูกของเขาหลงเหลือไว้ให้ตรวจสอบเพราะเป็นที่ทราบกันดีว่าศพของโมสาร์ทนั้นได้ฝังโดยไม่มีเครื่องหมายใดๆ แสดง(วันนั้นหิมะตกหนักมาก จนต้องรีบฝังศพโดยไม่ได้ทำเครื่องหมายใดๆ)
มิหนำซ้ำในปี ค.ศ.1801
ได้มีการรื้อสุสานเซนต์มาร์กซ์ เพื่อนำพื้นที่กลับมาใช้ใหม่ ทำให้ศพของคนจนๆ หรืออนาถาต้องถูกบดให้แตกแล้วนำไปฝังที่อื่นหรือทำลายทิ้งไป และกระดูกของโมสาร์ทก็คงเป็นหนึ่งในนั้น
ได้มีการรื้อสุสานเซนต์มาร์กซ์ เพื่อนำพื้นที่กลับมาใช้ใหม่ ทำให้ศพของคนจนๆ หรืออนาถาต้องถูกบดให้แตกแล้วนำไปฝังที่อื่นหรือทำลายทิ้งไป และกระดูกของโมสาร์ทก็คงเป็นหนึ่งในนั้น
สำหรับบทสรุปที่น่าจะดูดีที่สุดน่าจะมาจากความเห็นของดร.อลัน แม็คลีออด ผู้ได้ตรวจสอบหลักฐานทั้งหมดที่มีอยู่แล้วกล่าวว่าโมซาร์เสียชีวิตเนื่องจากการรักษาแบบผิดๆ โดยการกรีดเส้นเลือดใหญ่ๆ เท่านั้นเอง